Ford v Ferrari

หากใครได้ดูโปสเตอร์หนัง หรือตีความหมายจากชื่อ คนทั่วไปอาจมองข้างไปเพราะคิดว่าเป็นหนังสำหรับผู้ชายที่เกี่ยวกับการแข่งรถเหมือน ​Fast & Furious อันน่าเบื่อ

ซึ่งจริงๆมันผิดจากที่คิดไปอย่างมาก “Ford v Ferrari”เป็นหนังที่แสดงความเป็นมนุษย์ที่สุดแล้ว โดยแทรกข้อคิด Passion หรือความหลงใหลในบางสิ่งบางอย่าง การให้กำลังใจ การเชื่อใจ การทำงานเป็นทีมเวิร์ค ความสัมพันธ์ ที่มีการดำเนินเรื่องเชื่อมกับการแข่งรถในตำนานหรือที่เรียกกันว่า “เลอม็องส์ 24” ในฝรั่งเศส ที่ว่ากันว่าเป็นการแข่งรถที่โหด และยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อธุรกิจรถยนตร์ฟอร์ดยักษ์ใหญ่อเมริกัน ที่ผ่านมาเจเนอเรชั่นที่ 2 กำลังจะถูกแซงหน้าด้วยค่ายรถใหม่ๆ จึงต้องการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของบริษัทตัวเองให้มีความทันสมัยมากขึ้นเพื่อดึงดูดหนุ่มสาวที่มีกำลังซื้อ โดยการเทคบริษัทเฟอรารี่ที่ขณะนั้นกำลังโด่งดัง เอาชนะการแข่งขันหลายรายการ แต่ประสพปัญหาทางการเงิน กำลังจะล้มละลาย แต่ดีลก็ล่มไป

“เฮนรี่ ฟอร์ดที่ 2” จึงทำทีมของตัวเองโดย แมต เดมอน ในบทของ แคร์โรล เชลบี้ อดีตนักขับรถแข่งในเลอ ม็องส์ 24 และกลายมาเป็นนักออกแบบรถของฟอร์ด และคริสเตียน เบล ที่รับบทเป็น เคน ไมล์ส วิศวกรและนักขับรถซิ่งชาวอังกฤษ

ระหว่างการทำทีมและออกแบบพัฒนารถยนตร์ต้องฟาดฟันกับการชิงดีชิงเด่นภายในองค์กรยักษ์ใหญ่ที่เก่าคร่ำครึ มีการเล่นการเมืองกันทุกวิถีทาง ติดกับความประสบความสำเร็จของตัวเองในอดีต

ขณะที่ไมล์สกำลังพัฒนาเพื่อให้ได้รถยนตร์ที่ดีที่สุดเพื่อแข่งกับเฟอรารี่ เชลบี้ก็ต้องสู้ศึกอีกด้านหนึ่งซึ่งก็คือปัญหาสารพัดในองค์กร

“รายงานเล่มหนึ่งที่กว่าจะถึงมือคุณต้องผ่านคนมากมาย ผ่านผู้บริหารหลายระดับขึ้นถึงตัดสินใจได้ ทำให้สู้เฟอรารี่ไม่ได้” เชลบี้ ได้บอกกับ เฮนรี่ ฟอร์ดที่ 2 เพื่อให้เข้าใจถึงปัญหาของบริษัท

หนังเรื่องนี้พูดถึง Passion หรือความหลงใหลในบางสิ่งบางอย่าง

“คนที่โชคดีที่สุด คือคนที่รู้ว่าเค้าชอบทำอะไร, และเค้าก็ไม่เคยทำงานอีกเลยตลอดชีวิต” เชลบี้พูดขึ้นมาตอนกลางเรื่องเพื่อเป็น speech สำหรับเปิดตัวการร่วมรายการแข่งรถของฟอร์ด

ทั้งไมส์ลและเชลบี้แสดงให้เราเห็นถึงสี่งที่เรียกว่า “Passion” ตลอดเวลาที่หนังฉายเป็นเวลา 154 นาที การทำงานที่ทุ่มสุดตัว ลืมเวลากินเวลานอน

อีกสิ่งที่น่าประทับใจและน่าอิจฉาไปในตัวคือคู่ชีวิตของไมล์ส “โมลลี่” ที่คอยสนับสนุน Passion ของสามี ถึงแม้ความหลงใหลนั้นอาจจะทำให้ครอบครัวลำบาก มีบางตอนที่ธุรกิจครอบครัวถูกยึดทรัพย์ แต่เธอพร้อมฟันฝ่าไปด้วยกัน ทำให้สิ่งที่ทำให้คิดว่าน่าจะเป็นปัญหาใหญ่ในชีวิต กับดูบางเบาไปอย่างไม่น่าเชื่อ

สถานที่ที่ดีที่สุดไม่จำเป็นต้องเป็นดาดฟ้าบนโรงแรมหรู หรือไวน์ราคาแพง เพียงแค่เป็นในโรงรถเก่าๆกับเบียร์ราคาถูก ทั้งสองคนก็มีความสุขจนคนอื่นอิจฉา

การทำงานเป็นทีม

เป็นสิ่งที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ แม้ว่าจะมีปัญหารุมเร้าทั้งการประดิษฐ์เครื่องยนตร์เพื่อเอาชนะกับเฟอรารี่ภายใน 90 วันที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ กับปัญหาการเมืองในองค์กรที่รุมเร้าโดยไม่ต้องการให้ไมส์ลลงแข่ง แต่ไมส์ลก็เชื่อใจเชลบี้ ทุ่มเทสุดตัวในงานของตัวเอง และเชลบี้ก็ทุ่มเทสุดตัวเพื่อให้ไมส์ลได้ลงแข่ง ถึงขนาดเอาบริษัทตัวเองมาเดิมพัน

บทสรุป

There is a point, at 7000 rpm, where everything fades ………..

เมื่อขับรถที่ความเร็ว 7000 รอบต่อไมล์ทุกอย่างรอบตัวก็จะเลือนหายไป เมื่อใดที่เราหลงใหลอะไรบางอย่างด้วย passion อุปสรรคเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวันก็จะค่อยๆหายไป นั่นแหละที่เราจะเริ่ม “ใช้ชีวิต” ไม่ใช่เพียงแค่ “มีชีวิต” และนั่นทำให้ Ford v Ferrari เป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ไม่ควรจะพลาดในรอบปี

Leave a Reply

%d bloggers like this: